เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ มิ.ย. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อปลุกเร้าหัวใจของเรา หัวใจของเรามันหมอบอยู่ใต้กิเลส

เราเกิดมานะ เกิดมาโดยศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นมนุษย์นี้มหัศจรรย์มากๆ สิ่งในโลกนี้มีอยู่มาจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งนั้นน่ะ น้ำมือของมนุษย์มาจากสมอง มาจากวัฒนธรรมประเพณี

การเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์มีคุณค่ามากๆ ถ้ามีคุณค่ามาก เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้ว ศึกษาแล้วก็ไปวิเคราะห์วิจัยเท่านั้นน่ะ วิเคราะห์วิจัยด้วยสมองของตน วิเคราะห์วิจัยด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้าชอบใจก็ถูก ไม่ชอบใจก็ผิด แล้วทำสิ่งใดก็ทำไม่ได้สมความปรารถนา

เวลาโรคภูมิแพ้ เด็กมีภูมิแพ้เขาให้แขวนป้ายไว้เลย มันรู้ว่ามันจะแพ้อะไรไง โรคภูมิแพ้ ถ้าโรคภูมิแพ้เขาก็มียาแก้แพ้

แต่ของเราโรคแพ้ทางจงกรม เห็นทางจงกรมนี่อ่อนเปลี้ยเสียขาเลย มันยอมแพ้ไปหมดน่ะ มันสู้สิ่งใดไม่ได้หรอก มันสู้สิ่งใดไม่ได้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนไง

ความชอบ เวลารักใครชอบใครมันก็จริตนิสัย คนคนนี้เลวระยำเลย มันบอกดีๆๆ มันชอบของมัน โจรมันคบโจรไง

แต่ถ้าคนเขามีสติปัญญา คบคนสิ่งใดมันก็นิสัยสิ่งนั้นน่ะ แล้วนิสัยของเรา ถ้านิสัยเราเป็นคนดี เราจะคบคนดี

ถ้าคนที่ไม่ดี เปรมเขาบอก คบใครก็ได้ เปรมเขาสอนพวกคณะรัฐมนตรี คบได้หมดเพราะเราประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่ต้องมีระยะห่าง คนดีก็อยู่ใกล้หน่อย คนไม่ดีก็ระยะห่างหน่อย แต่เราจะไม่คบใครเลยมันเป็นไปไม่ได้ คนก็ต้องคบคนใช่ไหม

นี่ไง สิ่งที่ว่าเวลาคบคนสิ่งใดก็เป็นคนเช่นนั้น

นี่ไง เราคบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มาวัดมาวากัน เห็นไหม ธรรมวินัยๆ เวลากราบไหว้นะ ถ้าคนมีศรัทธาความเชื่อนะ น้ำหูน้ำตาไหล เวลาคนไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปที่อินเดียเขากลับมาเล่าให้ฟังนะ “หลวงพ่อ โอ้โฮ! มันปลื้ม ปลื้ม น้ำหูน้ำตาไหลเลยนะ นี่มีพระพุทธเจ้าจริงๆ”

แล้วใจเอ็งล่ะ

เวลาคนทำความสงบของใจนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนะ เวลาจิตสงบเข้ามาแล้วมันปลื้มยิ่งกว่านั้นหลายร้อยเท่า คำว่า “หลายร้อยเท่า” เพราะมันมั่นคงในพระพุทธศาสนาไง พุทธะ หัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นพุทธะ

ทุกคนมันมีหัวใจอยู่แล้วไง แต่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้กิเลส กิเลสเอาไปปลิ้นไปปล้อนเอาไปพลิกไปแพลงไง แล้วเรายอมจำนนกับมันหมดนะ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่กับเรา พุทธะมีอยู่กับเรานะ

พุทธะคือชีวะ คือสิ่งมีชีวิต แล้วสิ่งที่มีชีวิตถ้าเราไม่ออกจากร่างกายไป มันยังไม่ตายไป มันมีอยู่โดยแน่นอน ทำไมทำความสงบของใจไม่ได้ ทำไมหาคุณงามความดีในใจของเราไม่ได้

แต่สิ่งอย่างนั้นที่ว่าสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เพราะพระอานนท์เป็นคนถามเอง พอคนถามเองเพราะอะไร เพราะพระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ นี่ขนาดพระโสดาบันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานก็คร่ำครวญร้องไห้เลย

พระโสดาบันมันยังมืดบอดอยู่ข้างหน้า เห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเข้าใจได้ กามราคะปฏิฆะนี่ไม่ได้ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ไม่เข้าใจมัน ต้องการคนชี้นำๆ ร้องห่มร้องไห้ไปเกาะข้างประตูอยู่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระ “อานนท์ไปไหน”

“อานนท์ไปเกาะอยู่ข้างประตูร่ำไห้อยู่นั่นพระเจ้าค่ะ”

“ไปตามอานนท์มา ไปตามอานนท์มา”

“อานนท์ เธอเป็นคนที่ทำคุณงามความดีไว้มาก อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๐ กว่าปี สร้างสมบุญญาธิการมหาศาล อนาคตต่อไปถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ผู้ที่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปก็จะไม่มีใครทำได้เกินหน้าพระอานนท์” นี่ทำคุณงามความดีขนาดนั้น “เรานิพพานไปแล้ว อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น” นี่เพราะคุณงามความดีของเขาส่งเสริมของเขา

พระอานนท์คร่ำครวญๆ “ดวงตาของโลกดับแล้ว” ต้องการคนชี้นำ ต้องการคนคอยบอกทาง คนคอยดึงหัวใจนี้ขึ้นไปไง ถ้าดึงหัวใจนี้ขึ้นไป ถ้ามันเป็นความจริงนะ

กรณีนี้มาคิดถึงหลวงตาตลอด เวลาหลวงปู่มั่นนิพพานไป ไปกราบอยู่ปลายเท้า นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั่นน่ะ นั่งร้องไห้โดยที่ไม่มีใครเห็นนะ เวลาอยู่ต่อหน้าคนนี่อาชาไนย เก่งกล้าสามารถ แต่เวลากิเลสของตน นี่ไง เวลาแพ้กิเลสๆ กิเลสมันควบคุมหัวใจ เวลาหลวงปู่มั่นนิพพานไป เพราะอะไร เพราะตัวเองกำลังปัญญายังหมุนติ้วๆ อยู่น่ะ ไปนั่งอยู่ปลายเท้านั่งน้ำตาไหลไม่ให้ใครเห็น นั่งตัวต่อตัว

เวลาเขาล้อมหน้าล้อมหลังหลวงปู่มั่น ล้อมศพหลวงปู่มั่นนะเต็มไปหมดเลย ปล่อยให้เขาอยู่กันอย่างนั้นน่ะ เวลาสักสองสามชั่วโมงไปหมดน่ะไอ้พวกนี้ ไอ้พวกแห่ตามกระแสอยู่แป๊บเดียว เสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งอยู่กับซากศพของหลวงปู่มั่น นั่งคร่ำครวญร้องไห้ “ไอ้ใจดวงนี้...” เพราะอะไร

เพราะคนถ้ามันเดินทางมานะ ถ้ามันแพ้กิเลส กิเลสมันปิดหูปิดตานะ ไม่มีใครเป็นผู้ที่มีพระคุณ ไม่รู้จักกตัญญูกตเวทีใครทั้งสิ้น แต่คนที่ผ่านนะ ผ่านมาพิจารณาเวทนามาจนผ่านมา พิจารณากายจนผ่านมา พิจารณาอสุภะๆ อยู่ การพิจารณาอยู่ ปัญญามันหมุนติ้วๆ มันเห็นคุณค่าไง

เห็นคุณค่าตรงไหน

เห็นคุณค่าเวลาโต้แย้งกันไง เห็นคุณค่าเวลามันหลงใหลขึ้นมา เวลามันแพ้กิเลส กิเลสมันปั่นหัว มาหาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นล้มโต๊ะเลย หาเองๆ

หาเองหมายความว่าคนรู้จริงมีอยู่นี่ หาเองคือว่ามันไม่หลงทางแน่นอน

พระอานนท์เวลามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ มีสิ่งใดก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เรื่องลึกลับซับซ้อนขนาดไหน ดวงตาของโลกรู้แจ้ง ไม่มีทางปิดบังได้แน่นอน

แต่เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น คนที่อยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาลูกศิษย์กับอาจารย์นะ เวลาอาจารย์แก้ไขได้ๆ

นี่ไง เวลาภูมิแพ้ด้วยโรคอะไร เวลาภูมิแพ้ แพ้อาหารทะเล แพ้ผลไม้ แพ้อะไร แล้วเขาแก้ด้วยอะไร นอน นอนรออาการ ดูอาการก่อน ให้มันดีขึ้นๆ ไง ไม่ได้แก้ด้วยอะไร

แต่เวลาภูมิแพ้เวลามันแพ้กิเลส มันจะแก้ได้ด้วยความอาจหาญ ด้วยความมุมานะ ด้วยการต่อสู้กับมันด้วยขันติธรรม นี่ต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับมันเพราะกิเลสของเราไง นี่ไง สิ่งที่เป็นจริงๆ ในหัวใจ

ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้มันก็แพ้ต่อไป แล้วแพ้นะ เห็นทางจงกรมวิ่งหนีเลยล่ะ แล้วตั้งใจจะมาปฏิบัติไง นี่เห็นความเพียรก็แพ้มัน ทุกอย่างแพ้มัน เป็นโรคอะไร เป็นโรคภูมิแพ้ความเพียร โรคภูมิแพ้สติ โรคภูมิแพ้ความดีงาม แต่ถ้าความชั่วร้าย ชอบ

ความชั่วร้าย การกระทำไปได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเวลามาปฏิบัติขึ้นมาไปล้อมรั้วมัน ล้อมกรอบมัน มันยิ่งแสดงตัวของมันเต็มที่เลย แสดงตัวเต็มที่แล้วทำอย่างไร ถอยกรูดๆๆ สู้มันไม่ได้

เวลาถอยกรูดๆ นะ คนที่มีสติปัญญานะ หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลากิเลสมันฮึกมันเหิมขึ้นมานี่นั่งร้องไห้ “โอ้โฮ! เอากูขนาดนี้เนาะ” มันทำลายเราหมดเลย มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย มันไม่มีเหลืออะไรเลยนะเวลามันเสื่อม เวลามันท้อแท้น่ะ แล้วเอาใครเป็นที่พึ่ง

นี่ไง เวลาเมื่อก่อนที่เราปฏิบัติอยู่ เวลาแบตมันหมด เข้าไปหาหลวงตาทุกที ไปชาร์จไฟ ถ้าประสาโลกใครจะไป อยู่ดีๆ ก็ไปให้ครูบาอาจารย์ด่า โอ้โฮ! เข้าไปนี่แหลกเลย แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี อู้ฮู! ยำเต็มที่เลย โอ้โฮ! ไปชาร์จไฟ นี่เราคิดของเราอย่างนั้นนะ ถึงเวลาเราก็ไปชาร์จไฟ โอ้โฮ! ชาร์จไฟๆ เวลาชาร์จไฟ เวลาไฟมันเดิน แบตแทบระเบิด พอไฟเต็มไปได้ต่อ นี่ไง มีหลังอิงนะ เรามีครูมีอาจารย์มันเหมือนนักมวยหลังพิงเชือก สู้กับคู่ต่อสู้ของเรา นี่ถ้ามันเป็นจริงนะ

นี่ไม่อย่างนั้นน่ะ เวลาภูมิแพ้ แพ้แล้วก็แพ้ตายไปเลย

เพราะมีคนปฏิบัติมาก เวลามาหาเรานะ “หลวงพ่อ หลวงพ่อช่วยที ให้กลับมาปฏิบัติใหม่ เคยปฏิบัติมาสิบปียี่สิบปีที่แล้ว”

สิบปียี่สิบปีที่แล้วเวลาปฏิบัติไปๆ มันก็เหมือนไฟไหม้ เวลาไหม้สิ่งใดแล้วมันมอดไหม้ไปหมดน่ะ นี่ก็เหมือนกัน เวลามันท้อมันแท้ มันทำลายความเพียร ทำลายความปฏิบัติที่เราอยากปฏิบัติมาหมดสิ้นเลย แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไปทุกข์อีก มันไม่มีทางออกหรอก แล้วอยากจะฟื้นฟูในการปฏิบัติมา “หลวงพ่อช่วยที หลวงพ่อช่วยที”

เวลาเอ็งคึกเอ็งคะนอง เอ็งมีความสุข เอ็งไม่เคยบอกกูเลย เวลาเอ็งไปเที่ยวชายทะเลกัน ไปเที่ยวรอบโลก แหม! มีความสุขกันสองคน เอ็งไม่เห็นบอกกูเลย เวลาอย่างนี้มาช่วยทีๆๆ

กูมีบาตรใบเดียวนี่แหละ เวลาแพ้ก็แพ้กิเลสด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เคยออกจากวัดนี้ไปไหนเลย อยู่ในกำแพงนี้

แล้วเวลาทางโลกนะ “หลวงพ่อไม่เคยไปไหนเลย รู้ได้อะไร โง่ตายห่า”

เขามองดูถูกพระนะว่าพระไม่มีประสบการณ์อะไรจะรู้ได้อย่างไร เราต้องไปหานักวิชาการยิ่งใหญ่แก่กล้าจะได้มีคนชี้ทางได้...ไม่มีทาง ไอน์สไตน์มันยังคิดออกนอกเลย ส่งออกทั้งสิ้น การคิดของมนุษย์คือการคิดส่งออก

พุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิคือการย้อนเข้าสู่ใจของตน นี่ย้อนเข้าสู่ใจของตน เห็นไหม

ดูสิ ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เพราะไม่แน่ใจไม่เชื่อใจตัวเอง เวลาไปเห็นสังเวชนียสถานทั้ง ๔ นะ “โอ้โฮ! นี่พระพุทธเจ้าๆ”

ทั้งๆ ที่ขั้วบวกขั้วลบ ไฟมันเข้าถึงกันไง เรามีพุทธะในใจอยู่แล้ว แต่เราไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย เวลาเราไปเห็นสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เห็นที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรม ที่ปรินิพพาน “โอ๋ย! นี่พระพุทธเจ้ามีจริงๆ” ทั้งที่มันก็มีจริงอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่มันก็ยังไม่เชื่อของมันไง เวลาไปเจอหลักฐานเข้า “อู้ฮู! ซาบซึ้งๆ”

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเราจะเอาหัวใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนะ ถ้าจิตมันสงบระงับขึ้นมาได้มันมั่นใจในพระพุทธศาสนาเลย มั่นใจในพระพุทธศาสนาตรงไหน ตรงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์จะไปรื้อกันที่ไหน รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปรื้อที่แผงสัตว์ใช่ไหม จะไปรื้อที่ซีพีนั่นหรือ

รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็สัตตะผู้ข้องในหัวใจนี่ไง แล้วเราไปเห็นตัวมันนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง พอจิตสงบขึ้นมา อ๋อ! พระพุทธศาสนามันอยู่ที่นี่ แล้วที่นี่มันยิ่งใหญ่แล้วข้อวัตรปฏิบัติสิ่งภายนอกมันเป็นเครื่องอาศัยทั้งสิ้น วัดวาอารามสร้างขึ้นมาวิจิตรพิสดารขนาดไหนก็แล้วแต่ต้องมีการซ่อมบำรุงทั้งสิ้น มีวัตถุที่ไหนมันมีการเสื่อมค่าไปทั้งหมด มันไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะเป็นที่พึ่งอาศัยได้เลย แต่เป็นวัฒนธรรม

นกยังมีรวงมีรัง คนก็ต้องมีบ้านมีเรือนมันเรื่องธรรมดา แต่หัวใจทิ้งขว้างมันไปเพราะไปเอาวัตถุภายนอกส่งออก นี่ไง ความคิดจินตนาการส่งออกไปทั้งนั้นน่ะ ส่งออกไปทางทฤษฎี ส่งออกไป แล้วส่งออกไม่ธรรมดาด้วยนะ ส่งออกไปแล้วกลัวผิดอีกต่างหาก

พุทธพจน์ๆ สาธุ พุทธพจน์ก็คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงของเราล่ะ นี่ไง เวลาพุทธพจน์ก็บอกไว้ ปริยัติศึกษามาเพื่อปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ให้มันเป็นความจริงขึ้นมาในใจ นี่เลยแพ้กิเลส แพ้กิเลสก็แพ้ไปทั่วหมดเลย

เวลาโรคภูมิแพ้นี้ทางร่างกาย เวลาจิตใจ เวลาจิตผิดปกติเข้าโรงพยาบาลศรีธัญญา ทางโลกเขาก็ช่วยเหลือกันได้แค่นั้น

แต่ถ้าทางธรรมๆ นะ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทยเป็นโรคซึมเศร้า ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ถ้าไม่ดูแลรักษามันจะย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำให้จิตมันมีอาการมากขึ้น พอมีอาการมากขึ้นแล้วทำอย่างไร แล้วจะมาปฏิบัตินี่เป็นทางออกของกิเลสเลย พอปฏิบัติขึ้นมา “โอ้โฮ! วิปัสสนานี่แพรวพราว”

ก็มันซึมเศร้า มันคิดของมันโดยจินตนาการของมันน่ะ นี่ทำความสงบไม่ได้ไง

ทำความสงบเข้ามา ถ้าขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ฆ่ากิเลสนั้นมันเป็นความจริงไง นี่ไง สัจจะความจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ พระพุทธศาสนา อริยสัจสำคัญที่สุด

วัฏฏะๆ นี้ผลของวัฏฏะ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวัฏฏะก็มีของมันอยู่อย่างนี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าเคยตกนรกอเวจีมาเหมือนกัน แต่เวลามาเป็นพระโพธิสัตว์ พอพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วไม่ไปอีกเลย พระพุทธเจ้าไม่เล็กเท่ากับนกกระจาบ แต่มนุษย์เราเป็นเล็นเป็นไรเลย

พระในสมัยพุทธกาลได้จีวรใหม่มา อู้ฮู! พรุ่งนี้จะได้จีวรใหม่ คืนนั้นเป็นโรคช็อกตาย เกิดเป็นเล็นอยู่ในจีวรนั้นน่ะ

นี่ไง ประเพณีความเชื่อของชาวพุทธ ถ้ามันติดขัดที่นั่นจะไปเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกอยู่ที่นั่นน่ะ ติดบ้านสวยๆ สร้างให้มันสวยงามไว้นะ เวลาตายไปแล้วกลายเป็นจิ้งจกตุ๊กแกมาเฝ้ามัน มันจะไปไหนก็ไปไม่ได้

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันไปของมันนะ ความเกาะเกี่ยวของหัวใจนี้มันเกาะเกี่ยวที่ไหน มันชอบที่ไหน มันอยู่ที่ไหน มันไปที่นั่น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติมีปัญญา เกาะเกี่ยวกับพุทธะ เกาะเกี่ยวกับหัวใจของตน พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา โรคภูมิแพ้หายหมดเลย ไม่แพ้ใครทั้งสิ้น มีสติปัญญาสามารถรักษาใจของตน มีสติปัญญาสามารถรักษาใจตน นี่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต รักษาใจ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก นี่การกระทำไง

ธรรมะมันเป็นสัจจะความจริง แต่เราไม่จริงแล้วไม่มีอำนาจวาสนา เวลาทำสิ่งใดแล้วกลัวกระแสสังคมเขาจะติฉินนินทา

กระแสสังคมเป็นเรื่องกระแสสังคมนะ ความจริงเป็นความจริง ไม่ใช่กระแส กระแส เวลาพระปฏิบัติที่ไม่เชื่อถือ มรรคผลไม่มี เวลาเชื่อถือมรรคผลไม่มีแล้วกลายเป็นลิเกละครไปเลย มรรคผลเป็นอย่างนั้นหรือ

คนมีมรรคผล ดูหลวงปู่มั่นสิ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ขนาดไหน แล้วอะไรเป็นโลก อะไรเป็นธรรม สิ่งที่เป็นโลกๆ ไม่ไปยุ่งกับมัน ถ้าไปยุ่งกับมันแล้วมันจะเอาสิ่งนั้นไปอ้างอิง

ใครเวลาพูด “หลวงปู่ตื้อก็ทำอย่างนั้น หลวงปู่มั่นก็ทำอย่างนั้น”

แล้วมึงทำอะไร มึงมีอะไร นี่พอเวลาเชื่อขึ้นมาก็เชื่อเป็นละครไปเลย เชื่อเป็นให้เขาชักนำไปเลย

ถ้าเขาเป็นพระอรหันต์จริง ถ้าเขามีคุณธรรมจริง เขาจะเห็นคุณค่าของสัจธรรม เขาจะเห็นคุณค่าของศีล ของสมาธิ ของปัญญา

ใครที่มีรถเขาเห็นคุณค่าของถนน ถนนหนทางทำให้รถได้ก้าวเดินมา รถวิ่งมาบนถนนทั้งนั้น ถ้าถนนชำรุดรถนี้มาไม่ได้ทั้งสิ้น ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมามันเป็นถนนหนทาง มัคโค ทางอันเอก ถนนหนทางเป็นข้อวัตรปฏิบัติฝึกหัดหัวใจ มัคโค ทางอันเอก ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นจากหัวใจ

ถ้ามันเป็นได้จริง คนที่เป็นได้จริง คนที่มีรถอยู่ ๒๐ คัน แล้วมันใช้ให้คนทำลายถนนหมดเลยอย่างนี้ รถมันจะไปวิ่งที่ไหน รถไม่มีประโยชน์อะไรเลย

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจ มันจะไม่ให้สังคม ไม่ให้ชาวพุทธไปคลุกคลี ไปกดดันตัวเอง ไปทำให้ตัวเองไม่มีสาระในใจ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ฝั้นท่านพูด ในกรุงเทพมหานคร คนที่ไปทำงานนั่งรถเมล์อย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ

หน้าที่การงาน ไปทำงานแล้วก็ไปทำงาน แต่ขณะเดินทาง ลมหายใจ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี้เป็นคำเตือนของหลวงปู่ฝั้นที่มาเตือนอยู่ที่กลางสนามหลวงเลย ท่านไม่มาบอกว่าอะไรยิ่งใหญ่เลย

ตอนสมัยหลวงปู่ฝั้นท่านมีชื่อเสียง สมเด็จพระญาณสังวรฯ นิมนต์มาทำวิสาขบูชาที่สนามหลวง ท่านเทศน์เลย “พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส ประชาชนชาวพุทธอย่าหายใจทิ้งเปล่าๆ หายใจเข้าให้นึกพุท หายใจออกให้นึกโธ” เห็นไหม นี่ไง ไม่ได้บอกว่าอะไรยิ่งใหญ่เลย ไม่ได้พาให้ประชาชนเสียหายอะไรเลย ไม่ต้องเสียตังต์แม้แต่บาทเดียวเลย

คนมีชีวิตขึ้นมาต้องมีลมหายใจโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาตินี้หายใจเพื่อออกซิเจน แต่เพราะมีจิต ถ้ามีสติปัญญาเอาจิตนั้นเกาะกับลมหายใจ ที่เขาว่าเป็นอานาปานสติๆ กันนี่ ถ้าเกาะลมหายใจจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย ไม่ต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ จะต้องไปเห็นแล้วปลื้มใจๆ เราทำของเราเองได้ เราปฏิบัติได้โดยในปัจจุบันนี้ นี่ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม

ไม่ใช่ลิเกละคร พระอรหันต์รำไปก็รำมา หมอลำลำซิ่ง พระอรหันต์ลำซิ่ง ไม่มีหรอก ไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะ เห็นคุณค่าไง ข้อวัตรปฏิบัติมันถนนหนทางที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านวางไว้ เราต้องรักษาไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลังให้คนที่เดินตาม ใครมีล้อมีเกวียนมีจักรยาน เดินก็ได้ถ้าเราไม่มีรถ แต่ขอให้มีทางเดินนั้น

แล้วคนมีแต่คอยทำลายเส้นทางอย่างนั้น มามั่วสุมคลุกคลีตีโมง โอ้! บ้าบอคอแตก

ไอ้นั่นมันเรื่องประเพณีวัฒนธรรม ถ้าที่ไหนเขามีความสามัคคีธรรมเพื่อประโยชน์กับเขานั่นสาธุ

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เป็นกรรมฐานเป็นความจริงขึ้นมาอันนี้สำคัญ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ปฏิบัติบูชาเราเถิด” แล้วการที่จะมีมรรคมีผลขึ้นมามันจะมีมรรคมีผลจากการประพฤติปฏิบัติธรรม

ไม่ใช่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจงกรม ไม่ใช่โรคภูมิแพ้การนั่งสมาธิภาวนา แล้วก็ไปมั่วสุมกันอยู่อย่างนั้น ไร้สาระมาก เอวัง